ท่องเที่ยวโตเกียวในฤดูร้อน 2015
สวัสดีค่ะ ชื่อลูกแก้วนะคะ นี่เป็นครั้งแรกในการเขียนบล็อคของลูกแก้ว (จริงๆอยากเขียนมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที) เลยอยากแชร์ประสบการ์ณและความรู้สึกตอนไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก การใช้ชีวิตต่าง ๆ ผู้คนที่พบเจอ สำหรับลูกแก้วประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยากไปมากๆตั้งแต่ช่วงประถม เนื่องจากอิทธิพลทางด้านตัวอนิเมะต่างๆที่เราเคยดูและชื่นชอบ รองเท้าสุดเท่ สินค้าแบรนด์เนม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต สถาปัตยกรรม รวมถึงประวัติศาสตร์ของประเทศ บทความนี้เป็นประสบการ์ณที่เราเจอมาด้วยตัวเองและหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะสนุกกับการอ่านนะคะ 🙂
ในปี 2015 ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมและต้นเดือนสิงหาคมเป็นช่วงวันหยุดของเมืองไทยพอดี ทางบ้านเลยจัดทริปครอบครัวพาทัวร์ญี่ปุ่นดินแดนอาทิตย์อุทัย หลังจากที่เรากับน้องรบเร้าอยากไปมากๆ

แผนการเดินทางครั้งนี้คือไปเที่ยวโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู ในทางภูมิศาสตร์โตเกียวจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งตอนที่ลูกแก้วไปเป็นช่วงหน้าร้อนของที่นั่นคนก็จะเยอะมากๆ นักท่องเที่ยวมีปกติ สิ่งนึงที่คล้ายเมืองไทยก็คือ “ร้อน” แต่อากาศร้อนที่ประเทศญี่ปุ่นจะไม่เหมือนประเทศไทยนะ ที่ญี่ปุ่นให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบ ไม่มีเหงื่อเป็นเพราะภูมิประเทศที่เป็นเกาะเลยส่งผลให้สภาพอากาศร้อนแห้งๆ แต่อาการร้อนของเมืองไทยจะเป็นร้อนชื้น แค่เดินเฉียดแดดนิดนึงเหงื่อก็ออกแล้ว
ด้วยระยะเวลาที่จำกัดในการเที่ยวครั้งนี้ ทำให้มีเวลาเที่ยวที่ญี่ปุ่นไม่มากนัก โดยสถานที่คร่าวๆที่ไปมีดังนี้
- ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Kawaguchiko, Yamanashi)
- ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Mountain)
- หมู่บ้านน้ำใส (Oshino Hakkai Village)
- วัดอาซากุสะ (Asakusa Temple)
- Shinjuku
- DriverCity Tokyo Plaza (RX-78-2)
- Harajuku
- Shibuya
- Ueno Park
- Narita, Chiba

หลังจากที่ Landing ลงสนามบินนาริตะ แล้วก็นั่งรถไปจังหวัดยามานาชิที่อยู่ทางใต้ของโตเกียว ซึ่งยามานะชิเป็นจังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่ ปกติแล้วในช่วงฤดูร้อนผู้คนจะนิยมมา hiking ที่ภูเขาไฟฟูจิเพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า และตรงปากปล่องภูเขาไฟเป็นสีดำเพราะน้ำแข็งที่ปลกคลุมละลายตามฤดู เมื่อถึงถิ่นฟูเขาไฟ ปรากฏว่าเราไม่เห็นปากปล่องภูเขาไฟเลย แต่ความโชคดีคือตอนนั่งเครื่องบินเห็นปากปล่องของภูเขาพร้อมกับเมฆขาวๆเลยคิดเองว่าต้องใช่ๆแน่ และประกอบกับวันนั้นเองฝนตกปรอยๆเล็กน้อย มีหมอก และฟ้าครึ้มอยู่ตลอดทั้งวัน เลยสันนิษฐานเอาเลยว่าสิ่งที่เห็นบนเครื่องบิน คือปล่องภูเขาไฟฟูจิอย่างแน่นอน!

แต่มาครั้งทั้งทีไม่เจอฟูจิซังจะทิ้งตั๋วรถรางก็กระไรอยู่ เลยนั่งรถรางขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปดูคุณฟูจิซังแบบครบมุม 360 องศา ปรากฏว่าเห็นแต่หมอกปลกคลุม แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นวิวทะเลสาบแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและชื่นชมศาลเจ้าและดอกไฮเดรนเยียที่กำลังจะร่วงโรย

ไหนๆมาแล้วก็เก็บให้ครบ เราได้มีโอกาสขึ้นไปบนภูเขาไฟฟูจิในชั้นที่5นะคะ คือรถสามารถขึ้นไปได้ถึงชั้น5โดยเราจะเห็นคนที่พึ่งกลับจากการปีนภูเขาไฟเยอะมาก บางคนที่ล้มลงนอนข้างถนนเลยก็มีเยอะมาก ส่วนอากาศค่อนข้างหนาวเหมือนช่วงธันวาคมที่เชียงใหม่ และมีร้านสะดวกซื้อ มีห้างเล็กย่อมๆบริการผู้คน และมีเสาโทริอิสีแดงที่บ่งบอกว่าเป็นทางเข้าศาลเจ้า ที่ขาดไม่ได้เลยมีซอฟครีม!!


หลังจากที่ไหว้ศาลเจ้าและสัมผัสบรรยากาศบริเวณภูเขาไฟฟูจิแล้วนั้นก็นั่งรถลงมาจากภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 มาที่หมู่บ้านน้ำใส ใสมากๆจนเห็นตัวปลา แล้วปลาก็ตัวใหญ่มากๆ และยังเห็นสาหร่ายอยู่ในน้ำแบบชัดเจน

ขณะกลับมาที่โตเกียว ก็จะมีความรถติดหน่อยๆบ้างใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ในการเดินทาง จากที่นั่งรถจากภูเขาไฟฟูจิมาเมืองโตเกียว ระหว่างทางแวะเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำจะเป็นแบบนั่งยองๆ แต่ทรงชักโครกจะไม่เหมือนบ้างเรา และก็โถชักโครกแบบนั่ง ก็จะมีปุ่มให้เราเลือกกด ล้างน้ำ ถ่ายหนักเบา ผึ่งลม ที่ประเทศไทยก็มี (แฟชั่นไอสเลนด์ กับ เดอะพรอมานาด) ยิ้มเขินกันไป

ทริปนี้เป็นทริปมากับพ่อแม่ สายธรรมะก็จะต้องเข้าวัดวาศาลเจ้าต่างๆ เพื่อความสบายใจ วัดแรกคือ วัดอาซากุสะ อยู่บริเวณ Taito ใกล้ๆแม่น้ำที่สามารถเห็น Tokyo Skytree ซึ่งวัดอาซากุสะนั้น เป็นวัดที่มีสองศาสนารวมกัน คือ ศาสนาชินโต กับ ศาสนาพุทธ นิกายเซน สังเกตุได้คือ ถ้าศาสนาชินโต จะมีเสาโทริอิสีแดงหรือเทาบ่งบอก แต่ถ้าศาสนาพุทธ ก็จะมีองค์เทพพระโพธิสัตว์ วัดนี้ด้านหน้าจะมีตลาดขายของที่ระลึก คุณแม่เลยซื้อของฝากและเรากับน้องได้ชุดยูกาตะมาใส่เล่นๆกลับเมืองไทย


ช่วงเย็นก็เดินหาอาหารเย็นในย่านชิจูกุ คนเยอะมากๆ และคนที่พึ่งเลิกทำงานนิยมมากันเป็นกลุ่มเพื่อนเพื่อมาเฮฮาปาร์ตี้กัน ขณะเดียวกันทานเสร็จก็ต้องเดินย่อยด้วยการหาร้านรองเท้าชื่อดังที่ชื่อว่า ABC mart ซึ่งขายรองเท้าแบรนด์ที่หลากหลายและราคาถูก สรุปได้รองเท้า converse สีฟ้าพาสเทล made in Japan รอยปั้มสีแดงๆเขียนตรงพื้นรองเท้ากับด้านหลังของรองเท้า ซึ่งเก๋มาก ถือว่าเป็น Rare Item (แต่ปัจจุบันพื้นเหลืองหมดแล้ว)

Tip :ที่โตเกียวจะมีช่วงเวลาที่ความเร่งรีบจนบางครั้งเราต้องเช็คให้ดีว่าควรขึ้นรถไฟช่วงเวลาไหนบ้าง
Odaiba เป็นเกาะที่มนุษย์เป็นคนสร้างเกาะนี้ขึ้นมา พื้นที่ตรงเป็นแหล่งรวมความบันเทิงและสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า สถานที่จัดคอนเสิต อาทิ Summer Sonic Tokyo โดยห้างที่เป็นที่รู้จักคือ Divercity Tokyo Plaza มีกันดั้มตัวใหญ่ (Gandum รุ่น RX-78-2 ที่ปัจจุบันน้องถูกปลดออกไปตั้งแต่ปี 2017 แล้ว) มาตั้งหน้า Shopping Mall โดยในห้างก็จะมีร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าทั้งของต่างประเทศและในประเทศ และหน้าห้างก็จะมีเวทีคอนเสิตย่อมๆให้ผู้คนได้มาสร้างความสุขด้วยกัน

สถานที่ที่พลาดไม่ได้คือฮาราจูกุ เป็นสถานที่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะทางด้านแฟชั่น แต่คนเยอะตลอด และสินค้าที่ขายแต่ละอย่างสำหรับเราคือราคาถูกมากๆ กระเป๋าลายริลัคคุมะ 300 เยนกว่าๆ เนื้อผ้ากระเป๋าเป็นผ้าลินิน หนาๆ คุ้มคุณค่า เสื้อผ้าขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน และมีร้านมือสองแบรนด์เนมส่วนใหญ่จะเป็น Chanel ที่พึ่งตกรุ่นมาไม่นาน (คนญี่ปุ่นนิยมแบรนด์เนม เมื่อคอลเลคชั่นใหม่เข้ามา คอลเลคชั่นเดิมที่มีอยู่จะถูกขายให้กับร้านค้ามือสอง)

การนั่งรถไฟจากฮาราจูกุไปชิบูย่า 1 สถานี 140 เยน กดตั๋วที่ตู้ได้ สถานีรถไฟจะค่อนข้างเป็นสีน้ำตาลคลาสิกๆเท่ๆ (ปัจจุบันน่าจะ renovate ใหม่แล้ว) เมื่อถึงชิบูย่าให้อารมณ์เดินอยู่ที่สยามแสควร์ มีคนหลายอายุ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น แฟชั่นผู้หญิงจะนิยมเดรส สร้อยไข่มุก ร่มมีระบายลูกไม้ มีความโกธิคนิดนึง แตกต่างจากแฟชั่นที่ฮาราจูกุ ซึ่งตอนข้ามถนนให้ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างยุ่งเหยิง วุ่นวาย พอไฟเขียว รถผ่านไปปกติ ไม่มีคน ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ข้างทางก็จะมีร้านค้าต่างๆ อาทิ Lush, Zara, H&M, Onitsuka Tiger etc. ซึ่งมีให้ซื้อเยอะมาก ในปี 2015 คนไทยนิยมมาซื้อรองเท้า Onitsuka Tiger เพราะราคาถูกกว่าในไทยและมีให้เลือกเยอะกว่า และเวลานัดพบกัน คนส่วนใหญ่จะชอบนัดเจอกันที่รูปปั้นน้องหมาชิบะหน้าสถานีรถไฟ


ตอนเย็นก็ไปที่ Ueno เป็นสถานที่มีตลาด มีร้านขายของพวก DVD ของตั่งต่างที่น่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นสถานีรถไฟหลักที่สามารถไปได้หลายสาย มีสวนสาธารณะอูเอะโนะ สวนสัตว์ ซึ่งเดินแค่ช่วงเย็นเดินไม่ครบแน่ๆ แต่ช่วงเย็นของกินคือเยอะมากๆ เป็นอารมณ์ Street Food เดินซื้อตรงไหนก็ขอกินตรงนั้นได้เลย หมึกย่างเสียบไม้ เมล่อนเสียบไม้ น่ากินทุกอย่าง

ก่อนกลับประเทศไทย ก็มาที่วัดนาริตะซังที่เป็นวัดที่อยู่ใกล้สนามบินนาริตะแล้วมีร้านค้าสินค้าOTOPจากประเทศไทยมาขายที่นี่ด้วยโดยวัดค่อนข้างศักดิ์สิทธิ์และคนไทยส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวต้องมากราบไหว้ขอพร ณ ที่นี่ ซึ่งวัดอยู่บนเนิน จะต้องเดินขึ้นไปและตอบโจทย์คนที่สนใจสถาปัตญี่ปุ่นเหมือนได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมไปในตัวเพราะในวัดที่พื้นที่สถาปัตยกรรมที่หลากหลายเพื่อใช้สำหรับประกอบพิธีต่างๆ


นอกเหนือจากที่กล่าว ยังมีหลายที่ที่ได้ไปมาซึ่งมีความน่ารักและงดงาม นั่นก็คือความเป็นระเบียบของผู้คน หลายๆที่มีความสะอาดและไม่มีแม้แต่เศษขยะเลย ขณะที่ไปแช่ออนเซ็น จะก็แยกห้องชายหญิงก่อน ขณะที่เดินเปลือยไปแช่ออนเซ็น ก็ไม่ได้มีใครสนใจเราเพราะมันเป็นเรื่องปกติ (น้ำร้อนและผ่อนคลายมาก กลัวเรื่องเดียวคือบ่อรวมจะไม่มีคนฉี่ลงไปใช่มั้ย)ในตอนที่ไปเป็นช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น แต่มีฝนตกปอยๆบ้าง อากาศกำลังดี แต่ตอนร้อนก็ร้อนเหมือนอยู่ในเตาอบ ผู้คนและนักท่องเที่ยวก็ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนใส่ชุดยูกาตะเป็นชุดที่ใส่เฉพาะหน้าร้อน มีผลไม้ขายโดยเฉพาะเมล่อนและแตงโม ดอกไม้ผลิบาน และหลายกิจกรรม ตอนกลางคืนมีพลุดอกไม้ไฟหน้าร้อนด้วย
บทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของทริปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนสั้นๆนี้ สิ่งที่ได้ คือทราบในประวัติในสถานที่ต่างๆที่ไป (ถึงจะลืมไปบ้าง แต่มันก็ยังพอจำได้นิดนึง) และสิ่งที่ควรระวังคือหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นจะร้อนจนสามารถเป็น Heat Stroke ได้ คนญี่ปุ่นหลายคนก็เสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนซึ่งก็ต้องดูแลสุขภาพก่อนมาเที่ยวด้วยข้อดีในการเที่ยวในหน้าร้อนคือกระเป๋าเดินทางเบาสามารถซื้อเสื้อผ้าจากที่นี่กลับไปได้อย่างสบายๆ อีกเหตุผลนึงที่เที่ยวแบบผจญภัยได้ไม่เยอะมากเพราะคนในบ้านไม่ได้มีแรงที่จะเดินไหว นอกจากนี้ควรพกน้ำติดตัวเอาไว้เพราะอากาศร้อนมากๆ Dehydrate ได้ง่าย
อนาคตอาจจะได้มาอีก เพราะว่ายังเที่ยวไม่ครบทุกที่ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะคะ ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง
ลูกแก้ว 🙂